2 รูปแบบสินเชื่อ ที่ควรศึกษาก่อนตัดสินใจกู้

2 รูปแบบสินเชื่อ ที่ควรศึกษาก่อนตัดสินใจกู้

#สินเชื่อธอสเพื่อคนไทยในต่างประเทศ #ThinkOfThailandThinkSunAssets
“ถ้ามีเงินก้อนโตสำหรับการลงทุนในชีวิตก็คงดี?” คำถามนี้มักเกิดขึ้นกับมนุษย์เงินเดือนยุคใหม่ที่กำลังอยากนำเงินจำนวนมากไปต่อยอดชีวิตและสร้างอนาคตให้กับตนเอง เพราะเพียงรายได้ทางเดียวอย่างเงินเดือนคงไม่เพียงพอที่จะนำไปลงทุนหรือซื้อของชิ้นใหญ่ภายในเดือนสองเดือนแน่ๆ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ก็คือ “การขอสินเชื่อ” แต่จงจำไว้ว่าการขอสินเชื่อนั้นเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและไม่ง่ายอย่างที่คิดโดยเฉพาะการขอสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
หลายธนาคารได้มีการออกแบบสินเชื่อเฉพาะทางให้กับผู้กู้ตามวัตถุประสงค์ในการกู้เงิน ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเพื่อการลงทุน เชื่อส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วความต้องการทางด้านการเงินของคนเราก็มีความแตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนที่คิดจะขอสินเชื่อหรือกู้เงินจึงจำเป็นต้องประเมินศักยภาพตัวเองและศึกษาผลิตภัณฑ์การขอสินเชื่อต่างๆ ให้ดีก่อน ซึ่งในปัจจุบันการขอสินเชื่อนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกันคือ
1.การขอสินเชื่อแบบไม่ใช้หลักประกัน
สินเชื่อแบบไม่ต้องใช้หลักประกันที่พบเห็นกันได้ในสังคมปัจจุบัน จนเรียกได้ว่าใครไม่มีก็ถือว่าเชย จากการเป็นผู้นำทางด้านแฟชั่นทางการเงินไปแล้วก็คือ บัตรเครดิต หนึ่งตัวอย่างของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องใช้หลักประกัน โดยส่วนใหญ่ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตให้จะไม่ได้รับอะไรเป็นหลักประกันจากผู้ขอบัตรเครดิต แต่จะพิจารณาจากสลิปเงินเดือน อายุการทำงาน และความมั่นคงของบริษัทเท่านั้น โดยปัจจุบันสินเชื่อแบบไม่ใช้หลักประกันจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ต่อปี ซึ่งถือว่าอัตราดอกเบี้ยสูงพอสมควร ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่ขอสินเชื่อส่วนบุคคลตัวนี้จึงไม่ได้ต้องการใช้เงินจำนวนมาก
2.การขอสินเชื่อแบบใช้หลักประกัน
สินเชื่อที่ต้องใช้หลักประกันส่วนใหญ่จะได้รับอนุมัติวงเงินที่สูงจากการประเมินราคาทรัพย์สิน ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเราขอสินเชื่อบ้าน และกำลังผ่อนบ้านอยู่ บ้านของเราถือเป็นหลักประกันสำหรับการขอกู้ครั้งนี้ ในกรณีที่เราไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดต่อไหว ธนาคารก็จะยึดบ้านของเราได้
สินเชื่อแบบใช้หลักประกันนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อแบบไม่ใช้หลักประกัน โดยจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 6-7% ต่อปีเท่านั้น แต่ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าการอนุมัติบัตรเครดิตหลายเท่าตัว หรือ เป็นการอนุมัติเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุน หรือ ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ และมีการผ่อนชำระค่างวดที่ยาวนานถึง 30 ปี อัตราดอกเบี้ยจึงมีมูลค่าที่สูงพอสมควร แต่แท้จริงแล้วมีดอกเบี้ยน้อยกว่ากับการขอสินเชื่อแบบไม่ใช้หลักประกันครึ่งๆ เลยทีเดียว