นางไลวรรณ ปองเสงี่ยม รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายใต้แนวคิด “ธอส.บริการด้วยหัวใจ” เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล ส่งผลให้การดำเนินงานปี 2558 เมื่อเทียบกับปี 2557 ปรับตัวดีขึ้นทุกด้าน โดยธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 157,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,750 ล้านบาท คิดเป็น 10.34% และเกินเป้าหมายปี 2558 ที่กำหนดไว้ 149,800 ล้านบาท เป็นจำนวน 7,647 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้างรวม 862,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68,527 ล้านบาท คิดเป็น 8.63% สินทรัพย์รวม 900,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75,225 ล้านบาท คิดเป็น 9.12% เงินฝากรวม 726,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74,119 ล้านบาท คิดเป็น 11.36%
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล จำนวน 47,049 ล้านบาท คิดเป็น 5.45% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นเพียง 0.09% ตามภาวะเศรษฐกิจ กำไรสุทธิจำนวน 8,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.31% จากสิ้นปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 8,587 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากที่ 14.90% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับแนวทางการดำเนินงานปี 2559 ธนาคารมุ่งเน้นดำเนินตามพันธกิจกิจหลักในการสนับสนุนนโยบายภาครัฐด้านที่อยู่อาศัยสร้างโอกาสให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ส่งเสริมการออมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ ธอส.สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยกำหนดเป้าหมายสินเชื่อใหม่ในปี 2559 ไม่ต่ำกว่า 157,000 ล้านบาท
ด้านนายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ทางธนาคารพร้อมสนับสนุนโครงการบ้านประชารัฐ โดยร่วมกับการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยจะนำเสนอเรื่องเข้า ครม.ภายในเดือน ก.พ. แล้วจะเริ่มเดินหน้าได้ภายในเดือน มี.ค.59 ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปพื้นที่ และรายละเอียดต่างๆ แต่คาดว่าจะทยอยทำเป็นล็อตๆ โดยล็อตแรกประมาณ 6-7 หมื่นยูนิต ราคาประมาณ 5-6 แสนบาท เริ่มก่อสร้างได้ในปี 2559 ใช้วงเงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท