7 “วิธีออมเงิน” 10 ปี มีเงินเก็บ 7 หลัก

7 "วิธีออมเงิน” 10 ปี มีเงินเก็บ 7 หลัก

#สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างประเทศ #สินเชื่อสำหรับคนไทยในต่างประเทศ #บ้านและสินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างประเทศ
#สินเชื่อคนไทยในต่างแดน #สินเชื่อบ้านเพื่อคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศ #อยู่ต่างประเทศซื้อบ้านที่ไทย #สินเชื่อบ้านคนไทยในต่างแดน
เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกว่าการออมเงินนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและค่อนข้างน่าเบื่อ แต่อันที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพียงแค่คุณอาจจะเลือกวิธีการออมเงินที่ไม่เหมาะกับตัวเองเท่านั้นเอง ลองเปิดใจดูวิธีการออมเงินทั้ง 7 วิธีที่เรานำมาเสนอ ซึ่งถ้าหากคุณนำวิธีการต่างๆ เหล่านี้มา Mix & Match กันให้เหมาะสม คุณก็อาจกลายเป็นเศรษฐีเงินเก็บ 7 หลักได้ภายใน 10 ปี จะมีวิธีไหนบ้างนั้น ลองดู

1. ออมเงินด้วยวิธีเก็บแบงค์ 50
ออมเงินด้วยแบงค์ 50 ถือเป็นวิธีการออมเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย วิธีการก็คือ ทุกครั้งที่ใช้จ่ายในการซื้อของหรือบริการต่างๆ หากได้ทอนเป็นแบงค์ 50 ก็จะต้องเก็บและห้ามยุ่งกับแบงค์ดังกล่าวเด็ดขาด ซึ่งวิธีออมเงินแบบนี้มีข้อดีคือ เป็นวิธีออมเงินที่ง่าย สามารถทำได้ทันทีเมื่อได้เงินทอน อีกทั้งการออมเงินด้วยแบงค์ 50 ก็ถือว่าไม่มากและไม่น้อยเกินไป แล้วยังทำให้รู้สึกสนุกกับการลุ้นว่าจะได้หรือไม่
จากการคาดคะเนแล้วเราคิดว่าสัปดาห์หนึ่งน่าจะเจอแบงค์ 50 อย่างน้อย 3-5 ใบ เมื่อลองมาคำนวณดูเป็นระยะเวลา 10 ปี จะพบว่า
สมมุติ 1 สัปดาห์ เก็บได้ 5 ใบ ใน 1 ปี มี 52 สัปดาห์
ดังนั้นจะเก็บแบงค์ 50 ได้ 52 x 5 = 260 ใบ
ภายในหนึ่งปีจะสามารถเก็บเงินได้ 260X50 = 13,000 บาท
เพราะฉะนั้น 10 ปีจะสามารถเก็บเงินได้ 13,000X10 = 130,000 บาท

2. ออมเงินด้วยวิธีเก็บเหรียญ
ตั้งปณิธานไว้เลยว่าระหว่างวันไม่ว่าหลังจากที่ซื้อของหรือใช้บริการต่างๆ แล้วได้เงินทอนเป็นเศษเหรียญ จะไม่แตะต้องเหรียญเหล่านั้นเด็ดขาด! เพราะจะต้องนำเหรียญทั้งหมดที่ได้มาแต่ละวันไปหยอดกระปุกที่บ้านก่อนเข้านอน ออมเงินด้วยวิธีเก็บเหรียญนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกและน่าจะคุ้นเคยกันมาแต่เด็ก เก็บสะสมทีละเล็กละน้อยไม่ต้องคิดมากรับรองว่าเมื่อครบ 10 ปี ลองมานับกระปุกดูน่าจะมีเงินออมเพิ่มจำนวนไม่น้อย หรือทยอยทุบกระปุกไปฝากบัญชีออมทรัพย์ทุกเดือนก็ได้ จะได้ไม่กินเนื้อที่ในห้องนอนมากนัก
วิธีออมเงินนี้นอกจากจะทำให้มีเงินเพิ่มพูดโดยไม่รู้ตัวแล้วยังช่วยทำให้คุณไม่ต้องแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเหรียญหนักๆ ตลอดเวลา อีกทั้งสำหรับคนที่ไม่รู้จะนำเหรียญสตางค์ เช่น 50 สตางค์ 25 สตางค์ ไปทำอะไร วิธีออมเงินนี้ก็ช่วยได้

3. ออมเงินด้วยวิธีเก็บเงินตามปฎิทิน 1-365
Hardcore พอสมควรสำหรับการออมเงินด้วยวิธีเก็บเงินตามปฏิทินหรือ 365 days saving money challenge ที่อันที่จริงแล้วก็คือ การออมเงินทบไปเรื่อยๆ จากของเดิมวันละ 1 บาท จนครบ 365 วันนั่นเอง โดยเริ่มแรกก็สร้างตารางดังตัวอย่างล่างนี้ก่อน แล้วก็ออมเงินตามตัวเลขในปฏิทินที่คุณสร้างได้เลย แม้ว่าวันหลังจะต้องออมเยอะมากจนแทบเป็นลม แต่เมื่อนับดูดีๆ 1 ปี จะได้ถึง 66,795 บาท ถ้า 10 ปีก็จะเท่ากับว่าสามารถออมเงินได้ถึง 667,950 บาท
ในอีกด้านหนึ่งคนที่หาเช้ากินค่ำอาจไม่สามารถออมเงินตามตารางปฏิทินได้เป๊ะๆ โดยเฉพาะช่วงเดือนท้ายๆ ที่จำนวนที่ต้องออมเงินสูงถึงวันละ 300 กว่าบาท แนะนำให้ลองประยุกต์โดยการนำจำนวนวันที่ต้องเก็บมาหารให้กลายเป็นหลายวัน ไม่ต้องทบ
(365+1) ÷ 2 = 183
หมายความว่า ออมเงินวันละ 183 บาทจนถึงสิ้นปี ก็จะได้เงินเท่ากับวิธีการทบ
หรืออีกวิธีหนึ่งที่ดูสนุกขึ้นมาหน่อย ก็คือ เก็บสลับหัวปีท้ายปี ไปเรื่อยๆ เช่น
– วันที่ 1 ออมเงิน 1 บาท
– วันที่ 2 ออมเงิน 365 บาท
– วันที่ 3 ออมเงิน 2 บาท
– วันที่ 4 ออมเงิน 364 บาท

4.ออมเงินด้วยวิธีฝากประจำ
ออมเงินด้วยวิธีฝากประจำเป็นอีกทางเลือกของคนที่ยังไม่พร้อมลงทุนหุ้น กองทุน ที่มีความเสี่ยงปานกลาง – สูง ต้องการที่เก็บเงินที่ปลอดภัยและได้ดอกเบี้ยงาม แต่จะบอกว่าแค่เห็นดอกเบี้ยสูงแล้วอย่าเพิ่งพุ่งไปธนาคารนั้นๆ ควรเลือกออมเงินในบัญชีเงินฝากประจำที่ปลอดภาษีด้วย ซึ่ง ณ ตอนนี้ (พฤษภาคม, 2560) อัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี จะอยู่ช่วงประมาณ 2.8 % – 3.3 % *ศึกษาเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารนั้นๆ ลองคิดเล่นๆ โดยประมาณ นาย A ออมเงินด้วยวิธีฝากประจำในบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษีที่มีอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี เป็นเวลา 24 เดือน เดือนละ 5,000 บาท
วิธีคิดคร่าวๆ ดังนี้ (ความจริงแล้วธนาคารคิดดอกเป็นรายวัน)
เดือนแรก: 5000 ได้ดอกเบี้ย (0.03*5,000)/12 = 12.5 บาท
เดือนสอง: ฝากอีก 10000 ได้ดอกเบี้ย (0.03*10,000)/12 = 25 บาท
ทบคิดดอกเบี้ยแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 24 เดือน แล้วเอาทั้งหมดมาบวกกัน จะเป็นเงินยอดรวมทั้งหมดที่ได้จากการออมเงินในบัญชีเงินฝากประจำ สามารถดูตารางครบ 24 เดือนได้ที่นี่

5.ออมเงินด้วยวิธีเก็บแบบมีเงื่อนไข ถ้า…ต้องออมเงินไว้…บาท
ถ้านับจากวิธีออมเงินทั้งหมดในที่นี้ การออมเงินโดยสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองน่าจะเป็นวิธีที่สนุกและอาจจะทำให้ออมเงินได้มากที่สุดก็ว่าได้ โดยจะขอยกตัวอย่างเงื่อนไขง่ายๆ ที่น่านำไปใช้
– ถ้าพูดคำหยาบ 1 คำ ต้องออมเงิน คำละ 10 บาท
เงิน 10 บาทดูเหมือนจะไม่มากแต่ถ้าวันหนึ่งเราเผลอพูดคำหยาบอย่างน้อย 10 คำต่อวัน 1 เดือนก็จะออมเงินได้ถึง 300 บาท เมื่อครบปี ได้ 3,600 บาท และเมื่อครบ 10 ปี จะได้ประมาณ 36,000 บาท
เงื่อนไขการออมเงินแบบนี้นอกจากจะช่วยให้เรามีเงินเก็บแล้วยังช่วยในการพัฒนาคำพูด โดยอาจลองปรับจากคำหยาบเป็นพูดจาอย่างอื่นที่ทำร้ายจิตใจก็ได้
– ถ้าน้ำหนักขึ้น 1 ขีด ต้องออมเงิน ขีดละ 20 บาท
อย่างไรน้ำหนักก็ต้องมีขึ้นมีลง รับประกันว่าคุณจะได้ออมเงินจากเงื่อนไขนี้แน่ๆ วิธีออมเงินนี้เหมาะมากสำหรับหนุ่มสาวที่กำลังควบคุมน้ำหนัก นอกจากจะได้ออมเงินแล้วยังได้ท้าทายตัวเอง
– ทุกครั้งที่ทำงานพลาด จ่ายค่าปรับ 100 บาท
ออมเงินด้วยเงื่อนไขนี้นอกจากจะช่วยให้มีเงินเก็บแล้วยังช่วยให้รอบคอบมากขึ้น
– เก็บเงิน 500 บาททุกวันพระ
1 เดือนจะต้องมีวันพระอย่างน้อยสัก 4 วัน หากเก็บวันละ 500 บาท เท่ากับ 1 เดือนได้ 2,000 บาท ถ้า 1 ปี 24,000 บาท เมื่อครบ 10 ปีจะออมเงินได้ถึง 240,000 บาท

6.ออมเงินด้วยวิธี ตั้งงบใช้ต่อวันแบบแน่นอน
หลังจากหักค่าใช้จ่ายหลักๆ ที่จำเป็น เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทาง ลองกำหนดงบให้ตัวเองดูว่าใน 1 วัน จำเป็นต้องใช้เงินเท่าไหร่แล้วใช้ตามงบต่อวันนั้นๆ ส่วนเงินที่เหลือจากการหารวันก็นำหยอดกระปุกหรือใช้ฉุกเฉิน
ตัวอย่าง เงินเดือน 20,000 บาท หักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายทุกเดือน 7,000 บาท
เหลือเงินที่ใช้ได้ 13,000 บาท
ลองคำนวณดูแล้วพบว่าใช้วันละ 300 บาทก็เพียงพอ = 1 เดือนใช้ 9,000 บาท
สรุป เงินเหลือเก็บ 13,000 – 9,000 = 4,000 บาทต่อเดือน
7.ออมเงินด้วยวิธี เอาเงินโบนัส ทำประกันแบบสะสมทรัพย์ ซื้อสลากออมสิน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
สำหรับพนักงานบริษัทบางรายที่ได้โบนัส การนำเงินโบนัสที่ได้ไปเก็บไว้ในประกันแบบสะสมทรัพย์ สลากออมสิน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ถือเป็นวิธีออมเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งแต่ละประเภทมีรายละเอียดต่างกันดังนี้
– ประกันแบบสะสมทรัพย์
เป็นประกันชีวิตที่เราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด เน้นเรื่องได้เงินคืนเมื่อครบกำหนดระยะเวลามากกว่าเน้นคุ้มครอง(ผลพลอยได้) ซึ่งกำหนดระยะเวลาที่ได้รับเงินคืนมีตั้งแต่ 10 – 25 ปี
– สลากออมสิน
สลากออมสิน รูปแบบหนึ่งของการออมเงิน โดยเราจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลทุกเดือน เมื่อครบกำหนดก็ได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย
สลากออมสินนั้นมีหลายรูปแบบ แต่ที่นิยมมากก็คือ สลากออมสินพิเศษอายุ 3 ปี
– กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เดี๋ยวนี้หลายบริษัทเขามีให้เราสมัครเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งก็คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น โดยเงินของกองทุนมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายส่วนหนึ่งเรียกว่า ‘เงินสะสม’ แล้วอีกส่วนนายจ้างก็จะจ่ายเพิ่มให้เรียกว่า ‘เงินสมทบ’ เปรียบเทียบได้กับการออมเงินในธนาคารแล้วเราได้ดอกเบี้ยนั่นแหละ เงินก้อนนี้เราจะได้ก็ต่อเมื่อ เสียชีวิต ลาออกจากงาน ลาออกจากกองทุน ไม่เพียงแค่ได้เงินก้อนเท่านั้น เงินที่ถูกหักเข้าไปในกองทุนระหว่างที่เป็นสมาชิกสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีก15% ของค่าจ้าง ไม่เกิน 500,000 บาท
แม้ว่าวิธีออมเงินบางข้อในที่นี้อาจไม่ได้พาคุณไปแตะหลักล้าน แต่อย่างที่บอกว่าถ้าหากนำมาใช้ออมเงินควบคู่กันตั้งแต่ 2 วิธีขึ้นไปก็จะสามารถช่วยให้ให้คุณมีเงินเก็บหลักล้านได้อย่างที่ต้องการ เช่น ออมเงินด้วยแบงค์ 50 พร้อมกับออมเงินด้วยการฝากประจำ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เราสามารถได้เงินก้อนมาฝากประจำและได้ดอกเบี้ยเพิ่มจากเงินเก็บของเราเอง
นอกจากนี้ก่อนที่คิดจะออมเงิน แนะนำว่าให้ลองตั้งเป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก เช่น ต้องการออมเงินเพื่อซื้อบ้าน ซื้อคอนโดมิเนียม ออมเงินเพื่อท่องเที่ยว ออมเงินเพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ ออมเงินเพื่อปลดหนี้ ฯลฯ การออมเงินแบบมีเป้าหมายนั้นจะช่วยให้คุณแอคทีพและมองเห็นภาพตัวเองในอนาคตมากขึ้น