#สินเชื่อธอสเพื่อคนไทยในต่างประเทศ #ThinkOfThailandThinkSunAssets
ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงวัยใด ควรให้ความสำคัญของการเก็บออมเงินจากรายได้ก่อนนำไปใช้เสมอ
หลายคนอาจเคยมีคำถามตั้งแต่สมัยเด็กๆ ว่าพ่อแม่ให้เราเก็บออมเงินไปเพื่ออะไรกัน เด็กบางคนพ่อแม่ให้เงินมาใช้ที่โรงเรียน แต่ถูกกำหนดว่าให้มีเงินเหลือกลับบ้านมาเก็บออมในแต่ละวันด้วย ซึ่งเด็กๆ อาจยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการออมมากนัก จริงๆ แล้วการเก็บออมเงินเป็นการชะลอการใช้จ่ายในปัจจุบัน เพื่อเอาไปใช้จ่ายในอนาคต เนื่องจากในอนาคตเราอาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ลำพังรายได้จากการทำงานในแต่ละเดือนอาจไม่เพียงพอกับสิ่งที่อยากได้ จึงต้องเก็บออมเงินตั้งแต่วันนี้ให้มากพอที่จะทำตามเป้าหมายนั้น แล้วจะเก็บออมอย่างไร วันนี้เรา มีคำแนะนำ
การเก็บออมเงินอาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่
1. เพื่อเป็นเสบียงสำรองระยะสั้น
การออมเงินเพื่อใช้ในอนาคตนั้นควรเริ่มเก็บเพื่อเป้าหมายที่ใกล้และสำคัญที่สุดก่อน นั่นคือ การเก็บเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเพื่อป้องกันการก่อหนี้โดยไม่ได้ตั้งใจหากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินก้อนขึ้นมา เช่น ลูกป่วยกะทันหัน รถเสีย บ้านพัง หรือของใช้ภายในบ้านชำรุดต้องหาซื้อมาทดแทน จะได้ไม่ต้องกู้ยืมเงินใครให้เสียดอกเบี้ย ซึ่งจำนวนเงินสำรองนี้ก็ไม่ควรมีมากหรือน้อยเกินไป แนะนำให้มีประมาณ 6 เท่าของรายจ่ายครอบครัวต่อเดือน เช่น ครอบครัวมีรายจ่ายเดือนละ 25,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรอง 150,000 บาท
2. เพื่อเติมเต็มความฝันในระยะกลาง
หลายคนอาจมีความฝันที่มีราคาแพง ซึ่งด้วยรายได้ปัจจุบันไม่สามารถซื้อได้ทันทีเมื่อต้องการ จึงต้องมีการวางแผนเก็บออมเงินล่วงหน้าเป็นระยะเวลานาน โดยความฝันยอดนิยมก็คือ การมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่บ้านหลังหนึ่งราคาไม่ใช่ถูกๆ มักเป็นหลักล้านขึ้นไป การเก็บเงินให้เพียงพอซื้อบ้านด้วยเงินสดอาจทำได้ยาก ส่วนใหญ่จะเก็บเงินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นเงินดาวน์ ที่เหลือขอเป็นวงเงินสินเชื่อจากธนาคาร การเก็บเงินดาวน์บ้าน มักมีระยะเวลาไม่กี่ปี เช่น 2-3 ปี การออมเงินจึงไม่ควรเสี่ยงมากนัก เช่น เก็บในเงินฝาก หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินเพียงพอดาวน์บ้าน เพราะถ้าลงทุนเสี่ยงเกินไป แล้วผลตอบแทนไม่เป็นไปตามคาด ทำให้เงินไม่พอดาวน์บ้าน อาจต้องลดความฝันตัวเองลงมา โดยดูบ้านหลังเล็กลง หรือเลื่อนความฝันออกไป เพื่อให้มีเวลาเก็บออมเงินมากขึ้น
ยกตัวอย่างอีกความฝันหนึ่งของคุณพ่อคุณแม่ คือ การส่งลูกเรียน หลายครอบครัววางแผนให้ลูกได้รับการศึกษาในระดับชั้นสูงๆ ถึงปริญญาโทหรือปริญญาเอกที่ต่างประเทศ ซึ่งการเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้น หากลูกไม่ได้สอบชิงทุน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเก็บเงินเพื่อให้ลูกได้เรียนที่ต่างประเทศเอง โดยค่าใช้จ่ายในการเรียนปริญญาโทในต่างประเทศนั้น อาจสูงถึงหลักล้านบาทต่อปี จึงต้องมีการวางแผนการออมเงินล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหลายปี ก่อนที่ลูกจะเรียนจบปริญญาตรีและพร้อมไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ยิ่งเริ่มต้นเก็บออมได้เร็วก็ยิ่งดี จะได้ไม่เป็นภาระการออมในแต่ละเดือนมากเกินไป นอกจากนี้ การออมเงินที่มีระยะเวลาหลายปีก็ไม่ควรออมเงินไว้ในบัญชีเงินฝากเพียงอย่างเดียว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมักจะต่ำกว่าเงินเฟ้อ จึงควรหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ เช่น กองทุนรวมผสมที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมหุ้น มาช่วยในการเก็บออมด้วย
3. เพื่อเป้าหมายของชีวิตในระยะยาว
เป้าหมายระยะยาวที่คนอายุน้อยๆ มักไม่ค่อยได้นึกถึงก็คือ การเก็บเงินเพื่อเกษียณอายุ แม้ว่าเป้าหมายนี้จะเป็นเป้าหมายระยะยาวหลายสิบปี แต่ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเราผ่านช่วงชีวิตวัยทำงานไปแล้ว ณ วันเกษียณอายุ เราจะขาดรายได้หลักทันที เงินทุนเพื่อเกษียณจะเข้ามาเป็นแหล่งรายได้ทดแทนเงินเดือนหรือรายได้จากการทำงาน เราจึงต้องออมเงินล่วงหน้าให้เพียงพอสำหรับใช้หลังเกษียณอย่างน้อยต้องเผื่อไว้ถึงอายุประมาณ 80 90 ปี ซึ่งเป้าหมายเกษียณนี้มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการซื้อบ้าน หรือส่งลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัย เพราะเราคงไม่อยากตัดใจขายบ้านในฝันเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายหลังเกษียณ หรือเราคงอยากเห็นลูกๆ มีหน้าที่การงานในอนาคตที่ดี และไม่ต้องรับภาระการดูแลเราหลังจากเกษียณมากนัก การที่เราเก็บออมจนมีทุนเกษียณอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ไม่ต้องใช้ชีวิตหลังเกียณอย่างลำบาก รวมถึงช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกในอนาคตได้
จะเห็นได้ว่าการออมเงิน ไม่ใช่การเก็บเงินเอาไว้เฉยๆ โดยไม่มีแผนการใช้เงินก้อนนี้ในอนาคต การออมเงินในปัจจุบันย่อมมีประโยชน์ในอนาคตเสมอ และถึงแม้ว่าจะมีเงินสำหรับเป้าหมายต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังสามารถออมเงินต่อเนื่อง เพื่อเติมเต็มความสุขในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นเก็บเงินท่องเที่ยวพักผ่อนตามใจฝัน เก็บเงินเพื่อเกษียณได้เร็วขึ้น หรือใช้จ่ายในบั้นปลายชีวิตได้มากขึ้น เมื่อเห็นประโยชน์ของการออมเงินแล้ว อย่าลืมตั้งเป้าหมาย และเริ่มเก็บออมเงินกัน