#สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างประเทศ #อยู่ต่างประเทศซื้อบ้านในไทย #สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างแดน #อยู่ต่างประเทศอยากซื้อบ้านในไทย
หากกล่าวถึงพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน หลายคนคงนึกถึงเพลินจิต ชิดลม ทองหล่อ แถบถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นบริเวณที่รถไฟฟ้าพาดผ่าน ด้วยลักษณะพื้นที่อยู่บริเวณศูนย์กลางของเมือง เชื่อมต่อไปยังถนนได้หลายสาย สามารถเดินทางสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก ทำให้ทำเลในโซนนี้กลายเป็นศูนย์รวมธุรกิจ (CBD) อันดับต้นๆ ของกรุงเทพมหานคร เป็นที่ตั้งของบรรดาสำนักงานและบริษัทต่างๆ อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยศูนย์การค้า ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ ความสะดวกสบายใจกลางเมืองนี้เอง คือ เป็นปัจจัยหลักดึงดูดให้ผู้คนต่างหลั่งใหลเข้าสู่พื้นที่ และเป็นที่มาของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมแบบ High Rise ถือเป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกลุ่มดีมานด์ที่มีกำลังซื้อในระดับบน และนักลงทุน ที่ต้องการคอนโดมิเนียมระดับราคา 15 ล้านบาท และสามารถปล่อยเช่าได้เริ่มต้นเดือนละ 50,000 บาทขึ้นไป หรือจะขายรีเซลก็ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นห้องแบบ 1-2 ห้องนอน เหมาะสำหรับพักอาศัยคนเดียว หรือครอบครัวขนาดเล็ก
จากข้อมูล DDproperty พบจำนวนคอนโดมิเนียมในแขวงลุมพินี เขตปทุมวันถูกประกาศขายบนเว็บไซต์ในปี 2017 จำนวนทั้งสิ้น 4,784 ยูนิต ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ายังมีอุปทานเสนอขายเปลี่ยนมือกันเพื่อรองรับกับแนวโน้มดีมานด์ที่ยังคงเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาโครงการในพื้นที่ใจกลางเมืองหลายๆ ย่านข้างต้น เป็นที่ทราบกันดีว่ามีต้นทุนที่สูง เนื่องจากราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คอนโดมิเนียมถูกพัฒนาโครงการประเภท Super Luxury ราคาต่อตารางเมตรอยู่ในระดับ 160,000-200,000 บาท ไปจนถึงประเภท Ultra Luxury ราคาต่อตารางเมตร มากกว่า 300,000 บาทขึ้นไป โครงการหรู ราคาสูงเหล่านี้มาพร้อมการออกแบบที่ใส่ใจในรายละเอียด มีการเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียม และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบพิเศษ สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าคุ้มค่าสมราคา ท่ามกลางทำเลศักยภาพที่ปัจจุบันเหลือให้พัฒนาน้อยเต็มที
จากการประเมินราคาที่ดิน รอบ 2559-2562 โดยกรมธนารักษ์ พบว่าที่ดินย่านเพลินจิต-วิทยุ-ชิดลม อยู่ที่ ตารางวาละ 750,000 บาท จากเดิม ตารางวาละ 600,000 700,000 บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13.09% บาทต่อตารางวา แต่สำหรับราคาซื้อขายแท้จริงนั้น ปรับตัวไปสู่ระดับ 3 ล้านบาทต่อตารางวาแล้ว พื้นที่ที่น่าสนใจในบริเวณนั้นได้แก่ ต้นสนและหลังสวน ทั้งคู่เป็นซอยเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากถนนวิทยุ เป็นถนนเส้นเล็กที่แยกออกมาจากถนนสุขุมวิท (เพลินจิต) เข้าไประยะทางไม่ไกลมาก ราวๆ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ซอยหลังสวนสามารถทะลุไปสู่ถนนสารสินที่พาดผ่านท้ายซอยได้ ถนนสารสินถือว่าเป็นทางหลักที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพระรามสี่ ช่วงสีลม สาทร หรือจะไปถนนราชดำริก็ได้ สำหรับซอยต้นสนนั้นแม้จะเป็นซอยตัน แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ทางกรุงเทพมหานครวางแผนจะเชื่อมต่อถนนซอยต้นสนเข้ากับถนนสารสินทางด้านหลังให้สามารถทะลุถึงกัน ไม่ต้องอ้อมไปทางถนนวิทยุหรือเบี่ยงไปใช้เส้นทางซอยหลังสวนให้เสียเวลาอีกต่อไป โดยจะเปิดใช้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นี้ เพื่อช่วยลดความหนาแน่นของการจราจรผ่านถนนวิทยุ อีกทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้สำหรับการสัญจรไปมาของผู้คนอาศัยอยู่บริเวณนั้น และเมื่อเส้นทางเชื่อมต่อกันแล้ว จะสามารถใช้ถนนซอยต้นสนเดินทางต่อไปยังสวนลุมพินี สวนสาธารณะใหญ่ฝั่งปทุมวันที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร อีกทั้งพื้นที่ซอยต้นสนยังอยู่ใกล้ห้างหรู Central Embassy และใกล้สถานีรถไฟฟ้าสถานีเพลินจิตอีกด้วย
ที่ดินในซอยต้นสนและหลังสวนเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบ แตกต่างจากถนนเส้นหลักอย่างถนนเพลินจิตหรือสุขุมวิท และคนไม่พลุกพล่านเท่ากับบริเวณถนนวิทยุ เป็นที่ตั้งของสถานทูต โรงเรียน และร้านอาหาร ทำให้ซอยหลังสวนและต้นสนเหมาะแก่การพัฒนาเป็นที่พักอาศัย เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายใจกลางเมืองหลวง แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าที่ดินในบริเวณนี้ราคาสูงมาก และส่วนใหญ่เป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินฯ การให้สิทธิ์ครอบครองอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ซื้อส่วนใหญ่จึงเป็นแบบ Leasehold คือสัญญาเช่า ไม่ได้รับกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของแต่อย่างใด เมื่อเช่าครบตามกำหนดเวลา 30 ปีแล้ว จำเป็นต้องคืนสิทธิ์ครอบครองที่ดินให้แก่ต้นสังกัดหรือเจรจาต่อสัญญาต่อไป โดยอาจต้องมีค่าเช่าเพิ่ม ในทางตรงกันข้ามที่ดินแบบ Freehold ให้กรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของครอบครองอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ซื้อ
แม้ว่าราคาขายคอนโดมิเนียมที่เป็นแบบ Freehold นั้นจะสูงกว่าแบบ Leasehold ถึง 20-30% แต่เมื่อมองในแง่ราคาคอนโดฯ พบว่า Freehold มีอัตราการเติบโตด้านราคาสูงถึง 6-12% ต่อปี ในขณะที่แบบ Leasehold ยิ่งระยะเวลาการเช่าเหลือน้อยกว่า 20 ปี การเติบโตด้านราคากลับลดน้อยลง เหลือประมาณ 3% เท่านั้น