#สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างประเทศ #อยู่ต่างประเทศซื้อบ้านในไทย #สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างแดน #อยู่ต่างประเทศอยากซื้อบ้านในไทย
แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนในปี 2561 จะมีภาวะชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ทางด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ถือว่าในปี 2561 ประเทศไทยได้รับความนิยมจากชาวจีนพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 และเป็นอันดับ 4 ที่ชาวจีนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยคิดเป็นมูลค่าถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยกรุงเทพฯ ยังมีทำเลที่น่าลงทุนอันดับแรก เนื่องจากโครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว
ชาวจีนซื้ออสังหาฯ ไทยกว่า 2.3 พันล้านฯ
จากข้อมูลของ Juwai.com พบว่า ชาวจีนที่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 มีจำนวน 1.65 ล้านคน ใช้จ่ายได้เฉลี่ย 770,493 ดอลลาร์สหรัฐ/คน โดย 57% ของผู้ที่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้นั้น มีการใช้จ่ายเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากปี 2554 และคาดว่าในปี 2565 ชาวจีนที่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้จะเพิ่มเป็น 220 ล้านคน ทั้งนี้ ชาวจีนนิยมนำเงินมาลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดมากถึง 43.4% โดยกรุงเทพฯ เป็นมหานครแถวหน้าของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน จากการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเชื่อมั่นเรื่องศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
ล่าสุด ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับความนิยมในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน จากอันดับ 6 ในปี 2559 เป็นอันดับ 3 ในปี 2560 และล่าสุดในปี 2561 ที่ผ่านมา ขึ้นเป็นอันดับ 1 แซงหน้าออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ โดยทำเลที่มีการค้นหามากที่สุดคือ กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต สัตหีบ และเกาะสมุย ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อการลงทุนถึง 72.4% รองลงมาซื้อเพื่ออยู่เอง 46.4% และที่น่าสนใจคือซื้อเพื่อให้บุตรอยู่อาศัยขณะศึกษาในประเทศไทยถึง 2.1% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ด้านตัวเลขการลงทุนในปี 2561 พบว่า ประเทศที่ชาวจีนเข้าไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 คือ ฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 3 คือ ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยอยู่ถึงอันดับที่ 4 มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหนือกว่ามาเลเซียที่อยู่ในอันดับที่ 5 มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ชาวจีนขยายทำเลลงทุนในไทยมากขึ้น
ด้านนายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT ใกล้สถานทูต และอยู่ในทำเลที่มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก อาทิ ทำเลห้วยขวาง รัชดาภิเษก และพระราม 9 แต่ในระยะหลังพบว่าการเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของชาวจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจหรือปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนชาวจีน อาทิ
ผู้ประกอบการที่มีการประชาสัมพันธ์เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่นอกพื้นที่ที่ชาวจีนเคยสนใจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
นายหน้าทั้งไทยและจีนที่มีการนำหลายโครงการไปเสนอขายทั้งในประเทศไทยและที่ประเทศจีนโดยตรง สร้างความรู้จักและคุ้นเคยทำเลอื่น ๆ ให้กับนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
ผู้ประกอบการชาวจีนมีส่วนในการผลักดันหลาย ๆ พื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของชาวจีนด้วยเช่นกัน
ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีนเป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง เนื่องจากสามารถค้นหาหรือทำความรู้จักแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงมีหลายเว็บไซต์ของนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทั้งไทยและจีนที่ให้ความรู้เรื่องของภาวะตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันในแต่ละทำเล หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในอนาคตเชื่อได้เลยว่าผู้ซื้อชาวจีนจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกทำเลของกรุงเทพฯ และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย หัวหิน กระบี่ อย่างในปัจจุบันเท่านั้น คาดว่าทำเลใหม่ในอนาคตอาจจะไปถึงหัวเมืองรองของแต่ละภูมิภาคก็เป็นไปได้
ทั้งนี้ เหตุผลที่ชาวจีนนิยมมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย คือ อสังหาริมทรัพย์เป็นรูปแบบ Freehold แตกต่างจากที่ประเทศจีนที่เป็น Leasehold สูงสุด 70 ปี ราคาอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างถูกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 90,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนประเทศจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 บาท/ตารางเมตร จึงให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า นอกจากนี้ภายในห้องยังมีการตกแต่ง และมีที่จอดรถให้ ประกอบกับค่าครองชีพไม่สูง และมีระบบการแพทย์ที่ทันสมัย