หลายคนที่จะซื้อบ้านหรือซื้อคอนโด คงเคยได้ยิน “สัญญาจะซื้อจะขาย” แล้วสัญญาจะซื้อจะขายที่ได้ยินคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และมีอะไรบ้างที่ต้องรู้ วันนี้เราจะมาบอกถึงความสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขายกันค่ะ
เลือกอ่าน
สัญญาจะซื้อจะขายบ้านคืออะไร
สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน
คือ หนังสือสัญญาที่แสดงเจตนาว่าผู้ขายจะขายและผู้ซื้อ ทำขึ้นเพื่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้จะซื้ออสังหาริมทรัพย์และผู้จะขายอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่าย และระบุข้อตกลงต่างๆ หากว่าคู่สัญญาผิดข้อตกลง อีกฝ่ายสามารถฟ้องร้องได้ สัญญาจะซื้อจะขายบ้านจะเป็นสัญญาซื้อขายบ้านที่สมบูรณ์ต่อเมื่อผู้ซื้อและผู้ขายไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิที่สำนักงานที่ดินเท่านั้น
จุดประสงค์ของสัญญาจะซื้อจะขาย
ความสำคัญของสัญญาจะซื้อจะขาย
- ใช้สำหรับการขอสินเชื่อ
สัญญาจะซื้อจะขาย ใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน เมื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้วมีผลผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
- ใช้สำหรับทางกฎหมาย
การทำสัญญาจะซื้อจะขายจะ สามารถใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีฟ้องร้องได้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา
สิ่งที่ต้องระบุในสัญญาจะซื้อจะขาย
รายละเอียดที่สำคัญในสัญญาจะซื้อจะขายบ้าน มีอะไรบ้าง
1.วันที่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย
ในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จะต้องระบุวันที่เซ็นสัญญาในส่วนหัวของสัญญา เพื่อแสดงวันที่มีผลทางกฎหมาย
2.รายละเอียดระหว่างคู่สัญญา รายละเอียดระหว่างคู่สัญญา
คือ ข้อมูลที่แสดงตัวตนของผู้จะซื้อและผู้จะขาย เพื่อกำกับว่าสัญญาจะซื้อจะขายบ้านทำขึ้น
-
- ข้อมูลบนสัญญาจะประกอบไปด้วย
- ชื่อ อายุ ที่อยู่ “ผู้จะซื้อ” หรือ “ผู้จะขาย” ตามรายละเอียดในบัตรประชาชนของทั้งสองฝ่าย ในสัญญาควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องทั้งหมด หากชื่อคู่สัญญาผิด อาจมีผลทำให้สัญญาเป็นโมฆะได้
- ข้อมูลบนสัญญาจะประกอบไปด้วย
3.รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์
สัญญาจะซื้อจะขาย จะต้องมีรายละเอียดสำคัญของอสังหาริมทรัพย์ เช่น เลขที่โฉนด ขนาดที่ดิน ชนิดสิ่งปลูกสร้าง เลขที่สิ่งปลูกสร้าง และเขตปกครองที่ที่ดินตั้งอยู่ (ตำบล อำเภอ จังหวัด)
4.ราคาซื้อขายและรายละเอียดการชำระเงิน
ในสัญญาต้องมีการกำหนดราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่ตกลงซื้อขายอย่างชัดเจน ทั้งเป็นตัวเลขและตัวอักษร
-
- กรณีที่มีการวางมัดจำแล้ว จะต้องระบุว่าผู้ซื้อได้ชำระมาก่อนแล้วเป็นจำนวนกี่บาท ชำระด้วยวิธีใด ควรระบุเลขอ้างอิง ธนาคาร สาขา พร้อมวันที่ชำระ จะชำระอย่างไร ผ่อนงวดละเท่าไร และยังมีเหลือในส่วนที่จะชำระเพิ่มเติมอีกเท่าไรในวันโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดิน ต้องระบุให้ชัดเจน
5.ระยะเวลาของสัญญา และการกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์
ในสัญญาต้องมีการกำหนดระยะเวลา และการกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ภายในเวลาที่คู่สัญญากำหนด ตามที่เห็นสมควร
6.รายละเอียดค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์
ในสัญญาต้องมีการกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากการโอนกรรมสิทธิ์
7.ความรับผิดกรณีผิดสัญญา
ในสัญญาต้องกำหนดความรับผิดทั้งในส่วนของผู้จะซื้อหรือผู้จะขาย หากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น
เช่น กรณีผู้จะซื้อผิดสัญญา ไปโอนกรรมสิทธิ์ในวันตามที่ตกลงในสัญญา ให้ผู้จะขายยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย และริบเงินมัดจำที่วางไว้ได้ หรือกรณีผู้จะขาย ผิดสัญญาไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้จะซื้อในวันโอนกรรมสิทธิ์ ให้ผู้จะซื้อสามารถขอคืนเงินมัดจำได้และให้ฟ้องร้องให้ผู้จะขายมาดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา
8.ข้อตกลงและเงื่อนไขอื่นๆ
ข้อตกลงต่างๆ ระหว่างผู้จะซื้อและผู้จะขาย อาจเป็นได้หลายกรณี เช่น รายละเอียดการยกเลิกสัญญา การรับประกันบ้าน ซึ่งจะระบุในส่วนท้ายของสัญญา เป็นรายละเอียดอีกส่วนที่ต้องใส่ใจว่าทั้งสองฝ่ายได้รับความเป็นธรรม
9.ส่วนลงชื่อคู่สัญญาและพยาน
ส่วนสุดท้ายของสัญญา คือ ส่วนลงชื่อรับทราบและยอมรับข้อตกลงการซื้อขายและเงื่อนไขอื่นๆ รับรองว่า สัญญาทำเป็นสองฉบับ โดยมีเนื้อหาเหมือนกันครบถ้วนสำหรับฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขาย ซึ่งแต่ละฝ่ายจะต้องมีพยานในการรับทราบสัญญาฝ่ายละ 1 คน
สัญญาจะซื้อจะขาย อาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยาก และมีรายละเอียดขั้นตอนที่ต้องทำความเข้าใจ แต่สำหรับการซื้อขายบ้าน “สัญญา” คือสิ่งที่จะช่วยไม่ให้คุณเสียเปรียบ
ที่มา : blog.ghbank