คนไทยในต่างประเทศอาจสงสัยว่าจะซื้อบ้านที่ไทยทิ้งไว้ทำไม เพราะไม่ค่อยได้กลับเมืองไทยอยู่แล้ว ต้องบอกว่าสาเหตุที่ซื้อบ้านในเมืองไทยไว้ นอกจากจะซื้อเพื่อให้พ่อแม่ได้มีบ้านหลังใหม่อยู่แล้ว การซื้ออสังหาริมทรัพย์ก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งค่ะ ซึ่งการซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างไรจึงถือว่าเป็นการลงทุนนั้น จะต้องพิจารณาผลตอบแทน 2 ส่วน คือ
1. ผลตอบแทนในช่วงที่เราถือครอง
พิจารณาจาก “ค่าเช่าสุทธิ” ที่ได้รับต่อปี ซึ่งไม่ควรต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารหรือดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล เช่น ซื้อบ้านหลังหนึ่งมาในราคา 1,000,000 บาท แล้วต้องสำรวจดูว่าปล่อยให้เช่าได้เท่าใด สมมติเดือนละ 10,000 บาท ปีหนึ่งก็ได้เต็มที่ 120,000 บาท แต่ถ้าหักช่วงที่บ้านไม่มีคนเช่าบ้างสัก 1-2 เดือน และยังต้องหักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าดำเนินการ ภาษ ดังนั้น หากหักค่าใช้จ่ายด้วยคงเหลือสุทธิสัก 80,000 บาท ก็เทียบกับเงินซื้อมาได้ผลตอบแทน 8% ต่อปี (80,000 บาท เทียบกับ 1,000,000 บาท) ก็ไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาล
2. ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาอสังหาริมทรัพย์เมื่อขายเทียบกับราคาซื้อมา
เช่น หากซื้อบ้านมาในราคา 1,000,000 บาท และในอีก 5 ปีข้างหน้า ขายต่อได้ 1,500,000 บาท ก็จะทำกำไรได้อีก เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคาดการณ์อนาคต ถึงแนวโน้มของราคาอสังหาริมทรัพย์หรือวัฎจักรอสังหาริมทรัพย์ (Property Cycle) ว่าบ้านประเภทใด ระดับราคาใด ทำเลใด จะมีแนวโน้มดี เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน
หลักการของการลงทุนหรือการเก็งกำไร คือต้องซื้อให้ถูก และขายแพง ซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า เมื่อไรที่ราคาถูกควรซื้อไว้ เมื่อไรราคาแพงจึงควรขายทำกำไร นอกจากนี้ต้องศึกษาภาวะตลาดและคาดการณ์ถึงแนวโน้มในอนาคตว่าอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตหรือล้มลงค่ะ