จากปัญหาเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อของประชาชนลดต่ำ ทำให้ทั้งแบงก์ชาติและภาคเอกชนปรับตัวเลขจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ของไทยเหลือต่ำกว่า 3% ขณะที่ภาคการส่งออกก็ติดลบต่อเนื่อง
จึงส่งผลทั้งการขอสินเชื่อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคโดยเฉพาะอาชีพอิสระหรือเจ้าของกิจการขนาดเล็กกลุ่มเอสเอ็มอีที่ถือว่ามีรายได้ไม่แน่นอนเท่ามนุษย์เงินเดือนหรือข้าราชการเมื่อเศรษฐกิจมีปัญหายอดขายลดลง เอสเอ็มอีจึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงหนี้สูญ
กระทั่งกลายเป็นปัญหาว่าเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มที่โดนปฏิเสธสินเชื่อด้านต่างๆมากที่สุด
นางพิกุลศรีมหันต์รองผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสูงสุดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและธุรกิจรายย่อย ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่าภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบในปี 2558 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 6% โดยสินเชื่อปล่อยใหม่ที่ 6.4 แสนล้านบาท และภายในสิ้นปีนี้จะมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างอยู่ในระบบประมาณ 3 ล้านล้านบาท
ในขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ 1.2 แสนล้านบาทเท่าปีที่แล้ว ซึ่งครึ่งปีแรกปล่อยไปแล้ว 5.7 หมื่นล้านบาท และในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสินเชื่อคงค้างอยู่ 5.7 แสนล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนอัตราลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อ (รีเจค) โดยภาพรวมเพิ่มขึ้นไม่มาก จาก 20% เมื่อสิ้นปีที่แล้ว เป็น 23% ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ ทั้งนี้กลุ่มที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือกลุ่มเจ้าของกิจการส่วนตัว หรือเอสเอ็มอี โดยปัจจุบันมียอดถูกปฎิเสธสินเชื่อสูงถึง 34% จากสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 19%
ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้ากลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้มีภาระหนี้จากการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นส่งผลต่อความสามารถในการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง
แม้อัตราหนี้เสียยังอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิมคือ2.24%เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% แต่นางพิกุลยอมรับว่าเริ่มมีสัญญาณหนี้เสีย จากการที่ลูกค้าเข้ามาขอปรับลดภาระการผ่อนลงจากช่วงเวลาปกติ เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่าย ข้อแนะนำคือ ช่วงที่จะกู้ ไม่ควรก่อหนี้บัตรเครดิตสูงกว่าปกติ และควรหาผู้กู้ร่วมไม่ว่าจะเป็นคู่สมรส คู่รัก และผู้ปกครอง
ด้านนายอลงกต บุญมาสุข ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้บริการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อธุรกิจขนาดย่อม ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าอัตราลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อล่าสุด จะเป็นลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้ซื้อบ้านในโครงการจัดสรร ที่ถูกปฏิเสธถึง 45-50% เพิ่มขึ้น 5%
ขณะที่ลูกค้าที่ซื้อจากผู้ประกอบการรายใหญ่ถูกปฏิเสธ 25-30% เพิ่มขึ้น 5% เช่นกัน ส่วนอัตราหนี้เสียยังอยู่ระดับ 2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ข้อแนะนำสำหรับเตรียมตัวกู้เงิน กรณีอาชีพอิสระ เช่นพ่อค้า-แม่ค้า ควรนำรายได้เข้าบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน และต้องมีเงินฝากค้างไว้ในบัญชีเพียงพอที่จะสะท้อนภาระค่าใช้จ่ายจริงเพื่อให้ธนาคารพิจารณาได้