#สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างประเทศ #อยู่ต่างประเทศซื้อบ้านในไทย #สินเชื่อเพื่อคนไทยในต่างแดน #อยู่ต่างประเทศอยากซื้อบ้านในไทย
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงต้นปี 2562 ตลาดคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วกลับมาขายใหม่ หรือคอนโดมิเนียมรีเซลเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอานิสงส์ของการขยายตัวของเมืองและรถไฟฟ้า โดยเฉพาะ 3 โซนกรุงเทพฯ ชั้นใน ประกอบกับมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะบังคับใช้ 1 เมษายน 2562 เป็นตัวเร่งให้คอนโดมิเนียมรีเซล ทั้งซื้อ-ขาย-เช่า เติบโตอย่างคึกคัก
3 โซนกรุงเทพฯ ชั้นใน อุปสงค์แซงหน้าอุปทาน
จากข้อมูลของพลัสพร็อพเพอร์ตี้ พบว่า 4 ปีย้อนหลัง (พ.ศ. 2558-2561) มี 3 โซนที่มีการเติบโตสูง ได้แก่
สุขุมวิท อุปสงค์เติบโต 50% ขณะที่อุปทานเติบโต 30%
เพลินจิตชิดลม อุปสงค์เติบโต 80% อุปทานเติบโต 20%
พญาไท-ราชเทวี อุปสงค์เติบโต 570% อุปทานเติบโต 240%
จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าอุปสงค์เติบโตแซงหน้าอุปทานค่อนข้างมาก เนื่องจากพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน และโซนศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ หรือ CBD ในปัจจุบันเริ่มมีพื้นที่สำหรับพัฒนาโครงการใหม่อย่างจำกัด ดังนั้นคอนโดมิเนียมรีเซล จึงน่าจับตามอง เพราะสามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลกลางเมืองได้ โดยโครงการในเขตพญาไท อโศก และสุขุมวิท พบว่า ราคาโครงการใหม่สูงกว่าราคาโครงการรีเซลเกือบ 10%
กรุงเทพฯ ชั้นใน คอนโดฯ ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้เกิดการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน มาจากผลตอบแทนรวมจากการลงทุน ทั้งผลตอบแทนการขายต่อ (Capital Gain) และผลตอบแทนจากค่าเช่า (Rental Yield) ที่อยู่ในระดับสูง โดยโครงการที่ได้รับผลตอบแทนในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนรวม ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการในพื้นที่สุขุมวิทและสุขุมวิทรอบนอกที่มีผลตอบแทนรวมอยู่ที่ 10% ต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าโครงการที่เพิ่งเปิดใหม่ในช่วง 2-3 ปี มี Capital Gain ลดลง จึงอาจคาดการณ์ได้ว่าระดับราคาของโครงการใหม่ ๆ มีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี หากนักลงทุนต้องการได้ผลกำไรจากส่วนต่างของราคาอาจต้องใช้เวลาในการถือครองอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป โดยผลตอบแทนจากค่าเช่าที่ 4-6% แต่จากราคาที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นอีก